- ทำไมปี 2023 จึงยังคงเป็นปีที่ยากลำบากสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นไทย? - December 25, 2023
- 5 ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยๆในการวิเคราะห์ผลการลงทุน - September 13, 2020
- พิสูจน์ความอันตรายของการเก็งกำไรระยะสั้นด้วยทฤษฎี Risk of Ruin - July 19, 2020
ในช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นไทยอยู่ในภาวะที่แนวโน้มใหญ่กลับตัวเป็นขาลงแบบนี้ ผมเชื่อว่าเพื่อนๆพี่ๆน้องๆนักลงทุนหลายๆท่านที่ใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ Trend Following น่าจะเกิดความรู้สึก “เสียดาย” อยู่ในใจกันอยู่บ้าง เพราะถ้าให้มองย้อนกลับไป ผมเชื่อว่านักลงทุนแทบทุกคนที่ประสบเหตุการณ์แบบนี้มา มักเกิดคำถามในใจว่า “ถ้าตอนนั้นเรามีการตั้งจุดขายทำกำไรเมื่อหุ้นขึ้นไปซัก 10-20 % ก็คงจะดีกว่าที่จะต้องมาตัดขาดทุนทีหลังเมื่อหลุดราคาหลุดแนวโน้ม”
โดยในบทความนี้ผมจะทำการทดสอบวิจัยให้เพื่อนๆได้เห็นถึงผลกระทบของการที่กลยุทธ์การลงทุนแบบ Trend Following มีการตั้ง “จุดขายทำกำไร” หรือ “Profit Target” และมันจะช่วยให้ผลตอบแทนของกลยุทธ์การลงทุนนั้นดีขึ้นตามความเชื่อหรือไม่ เราไปดูกันเลยครับ!
แนวคิด “จุดขายทำกำไร” หรือ “Profit Target”
จุดขายทำกำไร หรือ Profit Target นั้นคือแนวคิดของการตั้งคำสั่งขายล่วงหน้าไว้ในระดับราคาที่ทำให้หุ้นที่เราถือนั้นมีกำไรสูงกว่าระดับที่ตั้งเอาไว้ เช่น 10-20 % เป็นต้น โดยแนวคิดนี้นั้นถูกพูดถึงในกลยุทธ์การเทรดของนักลงทุนชื่อดังมากมาย และถือว่าเป็นอีกหนึ่งใน “ความเชื่อ” ยอดนิยมที่ถ่ายทอดต่อๆกันมาในหมู่นักลงทุนทั้งหน้าใหม่และหน้าเก่าว่าจะเป็นสิ่งที่ช่วยรักษาเพิ่มผลตอบแทนในระยะยาวได้
โดยผมจะขออนุญาตยกตัวอย่างบทความหนึ่งในนิตยสารการลงทุน Kiplinger Magazine ที่เขียนหลังจากที่หุ้นของบริษัท Apple (NASDAQ:AAPL) เกิดการปรับฐานอย่างรุนแรงในช่วงปี 2013 ซึ่งผู้เขียน Lance Roberts CEO บริษัท Streettalk Advisors ผู้แนะนำการลงทุนมืออาชีพ ได้เขียนแนะนำไว้ว่า
“Winners take chips off the table. เมื่อหุ้นตัวใดตัวหนึ่งที่เราถืออยู่นั้นมีการเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวภายใน 1 ปี ทำให้พอร์ตโฟลิโอเรานั้นมีความเสี่ยงที่อ้างอิงกับหุ้นเพียงตัวเดียวมากขึ้น ทำให้เราควรที่จะขายทำกำไรออกไปบ้างเพื่อลดความเสี่ยง”
ซึ่งถ้าฟังดูแล้วก็เหมือนจะเป็นคำแนะนำที่สมเหตุสมผลเลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ตามสุดยอดนักลงทุนอย่าง Warren Buffett กลับไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ โดยหนึ่งใน Quote อมตะที่เขาได้เคยกล่าวไว้ คือ
“The advice ‘you never go broke taking a profit’ is foolish.”
ซึ่งถ้าเราย้อนกลับมาดู จริงๆแล้วความสำเร็จและสินทรัพย์ของ Berkshire Harthaway บริษัทของ Warren Buffett ที่สะสมมากว่า 50 ปี + นั้นกว่า 90% เกิดขึ้นจากการลงทุนในหุ้นเพียงไม่กี่สิบตัวเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น ถ้า Warren Buffett ขายหุ้น Coca-Cola (NYSE : KO) ที่เงินลงทุนด้วยเงิน 1.3 พันล้านดอลล่าร์ ออกไปตอนที่ได้กำไร 1 เท่าตัว เขาคงไม่ได้กลายเป็นนักลงทุนในตำนานอย่างทุกวันนี้ ที่มูลค่าหุ้น Coca-Cola ที่เขาถือไว้สูงถึง 2 หมื่น 2 พันล้านดอลล่าร์ (As of November 2019)
ซึ่งจะเห็นได้ว่าแนวคิดของการนำ Profit Target มาใช้ในกลยุทธ์การลงทุนนั้นต่างก็มีคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย โดยวันนี้ผมเลยจะมาทำการทดสอบในตลาดหุ้นไทยเพื่อคลายข้อกังขานี้ให้เพื่อนๆพี่ๆน้องๆนักลงทุนครับ
การทดลองเพื่อทดสอบประสิทธิภาพ
เพื่อที่จะให้ผู้อ่านได้เห็นถึงประสิทธิภาพของการเพิ่ม Profit Target เข้ามาในกลยุทธ์การลงทุนเพื่อปกป้องผลกำไรในพอร์ตโฟลิโอ ในการทดลองนี้เราจะใช้กลยุทธ์การลงทุน 10X ที่ผสมผสานแนวคิดการลงทุนในหุ้นเติบโต (Growth Stock) และหุ้นที่มีแนวโน้มเป็นขาขึ้นอย่างแข็งแกร่ง (Trend Following) มาใช้เป็นตัวอย่างการทดสอบนี้
ในรูปด้านล่าง จะเป็นการแสดงภาพตัวอย่างสัญญาณซื้อขายของกลยุทธ์การลงทุน 10X ที่การตั้ง Profit Target ที่จะขายเมื่อ Trade มีกำไรถึงระดับที่ตั้งไว้ ซึ่งจุดขายนั้นจะถูกกำหนดขึ้นทันทีหลังที่เราซื้อหุ้น เปรียบเทียบกับการซื้อขายด้วยกลยุทธ์ 10X แบบปกติที่ไม่มีการตั้ง Profit Target
ภาพที่ 1 : แสดงตัวอย่างสัญญาณซื้อขายของกลยุทธ์การลงทุน 10X ที่มีการตั้ง Profit Target ที่ 100% เปรียบเทียบกับการขายของกลยุทธ์ 10X แบบปกติ
โดยเราจะทำการทดสอบกลยุทธ์การลงทุน 10X ที่มีการเพิ่มเติม Profit Target ในระดับตั้งแต่ 10% / 20% / 30% / 40% / 50% และ 100% มาเปรียบเทียบกับกลยุทธ์ 10X ดั้งเดิมที่ไม่มีการใส่ Profit Target เข้าไปแต่อย่างใด โดยมีรายละเอียดอื่นๆในการทดสอบดังนี้
Condition | Details |
Backtesting Window |
|
Backtesting Restriction |
|
Universe |
|
Entry |
|
Exit |
|
Filters |
|
Position Size |
|
Position Score |
|
ตารางที่ 1 : ตารางแสดงเงื่อนไขต่างๆสำหรับการทดสอบประสิทธิภาพของ Profit Target กับกลยุทธ์แบบ Trend Following โดยผู้อ่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบการลงทุน 10X ได้ที่นี่
ประสิทธิภาพของ Profit Target กับกลยุทธ์ Trend Following
ภาพที่ 2 และตารางที่ 2 : ภาพและตารางแสดงผลสรุปค่าสถิติของการทดสอบประสิทธิภาพของ Profit Target
จากภาพและตารางด้านบนจะเห็นได้ว่า การนำแนวคิด Profit Target มาใช้นั้นกลับไม่ได้เพิ่มผลกำไรทบต้นในระยะยาวให้กับกลยุทธ์การลงทุนแบบ Trend Following ตาม “ความเชื่อ” ที่บอกต่อๆกันมา โดยกลยุทธ์การลงทุน 10X ที่ไม่ได้มีการใช้ Profit Target นั้นให้ผลตอบแทนทบต้นต่อปี (CAGR) ที่สูงที่สุดที่ 45.74% โดยเราสามารถเห็นแนวโน้มได้อย่างชัดเจนว่ายิ่งมีการตั้ง Profit Target ที่แคบ (10%-30%) นั้นทำให้ประสิทธิภาพในการสร้างผลตอบแทนของระบบการลงทุนนั้นลดหลั่นลงอย่างเห็นได้ชัด และจะดีขึ้นเรื่อยๆเมื่อ Profit Target นั้นกว้างขึ้น
อย่างไรก็ตามแนวคิดการตั้ง Profit Target นั้นก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์ เพราะการตั้ง Profit Target นั้นก็มีผลทำให้ค่าชี้วัดความเสี่ยงทั้ง Maximum Drawdown และ ค่าวัดความผันผวนของผลตอบแทน Standard Deviaton นั้นมีการลดลงอย่างเห็นได้ชัดเช่นกัน เนื่องจากระยะเวลาเฉลี่ยในการถือครองหุ้นนั้นลดลงอย่างมีนัยยะ
การตั้ง Stop Profit เป็นการสกัดดาวรุ่งทำให้ผลตอบแทนในภาพรวมลดลง
ภาพที่ 3 : เปรียบเทียบการกระจายตัวของผลตอบแทนในแต่ละ Trade ระหว่าง 20% Profit Target และ No Profit Target
เมื่อเจาะเข้าไปดูการกระจายตัวของผลกำไรในแต่ละ Trade เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า กลยุทธ์การลงทุน 10X แบบดั้งเดิม (No Profit Target) ซึ่งเป็นกลยุทธ์การลงทุนตามแนวโน้ม หรือ Trend Following นั้นมีลักษณะการกระจายตัวของผลตอบแทนในแต่ละ Trade แบบหางยาว (Long Tail Distribution) ซึ่งหมายความว่าผลกำไรของกลยุทธ์ส่วนใหญ่นั้นมาจากการถือหุ้นตามแนวโน้มไปเรื่อยๆจนกว่าแนวโน้มราคาจะเปลี่ยนหรือการเติบโตของบริษัทนั้นลดลง โดยจะเห็นได้จาก Trade ที่มีการกระจายตัวไปด้านขวานั้นได้กำไร ตั้งแต่ 100% – 400%
และเมื่อเปรียบเทียบกับกลยุทธ์การลงทุน 10X ที่ใช้ 20% Profit Target จะเห็นได้ว่า Trade จำนวนมากนั้นถูก “สกัดดาวรุ่ง” ขายออกไปก่อนเมื่อได้กำไรถึง 20% ซึ่งนี่ก็คือสาเหตุที่ทำให้ผลกำไรคาดหวังต่อหน่วยลงทุน (Expectancy) ลดลงโดยมีค่าเท่ากับ 7.08% และ 17.06% ตามลำดับ จนส่งผลกระทบให้ผลตอบแทนทบต้นต่อปีนั้นลดลงอย่างมีนัยยะนั่นเอง
บทสรุปของประสิทธิภาพ Profit Target กับกลยุทธ์ Trend Following
จากผลการทดสอบ Backtest ในข้างต้นนั้นเราสามารถสรุปประเด็นสำคัญได้ดังนี้
- การนำแนวคิด Profit Target มาใช้ในการรักษากำไรนั้นไม่ได้มีส่วนช่วยในการให้กลยุทธ์การลงทุนประเภทตามแนวโน้ม (Trend Following) เช่นกลยุทธ์ 10X นั้นมีผลตอบแทนทบต้นต่อปีที่สูงขึ้นดั่ง “ความเชื่อ” ที่บอกต่อๆกันมาเลย
- อย่างไรก็ตาม แนวคิด Profit Target นั้นกลับช่วยให้กลยุทธ์การลงทุนในการทดสอบมีค่า Maximum Drawdown และค่า Standard Deviation ที่ลดลง พร้อมๆกับผลตอบแทนทบต้นเช่นกัน
- ซึ่งถ้าพิจารณาจากการกระจายตัวของผลตอบแทนในแต่ละ Trade นั้นจะเห็นได้ว่าสาเหตุที่กลยุทธ์การลงทุนประเภทตามแนวโน้ม (Trend Following) เช่นกลยุทธ์ 10X นั้นมีผลตอบแทนทบต้นต่อปีที่ลดลงเมื่อใช้ Profit Target ก็เพราะว่ากลยุทธ์แบบ Trend Following นั้นมีการกระจายตัวของผลกำไรในแต่ละ Trade แบบหางยาว (Long Tail Distribution) ซึ่งทำให้กำไรส่วนมากนั้นมาจากหุ้นที่เป็นแนวโน้มขาขึ้นระยะยาว ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดการลงทุนของ Warren Buffett ที่กล่าวไว้ในตอนต้นของบทความว่า “The advice ‘you never go broke taking a profit’ is foolish.”
สุดท้ายผมหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ช่วยทำให้เพื่อนๆพี่ๆน้องๆนักลงทุนได้เข้าใจและเห็นถึงข้อเท็จจริงของความเชื่อในการลงทุนบางอย่างที่อาจไม่ได้เป็นไปอย่างที่เล่าต่อๆกันมาครับ จนกว่าจะพบกันใหม่ในบทความต่อไป ขอให้ผู้อ่านทุกท่านมีสุขภาพที่ดีปลอด Covic-19 และไม่เครียดกับการลงทุนในช่วงนี้จนเกินไปนะครับ